ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี

สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน; 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ พ.ศ. 2479 จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2495 หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระสวามีได้ดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (Queen Elizabeth, The Queen Mother) เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระธิดาองค์โตคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 จนถึงปี พ.ศ. 2479 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งยอร์ก อีกทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์และจักรพรรดินีแห่งอินเดียพระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า ควีนมัม

เอลิซาเบธซึ่งเกิดในครอบครัวตระกูลผู้ดีชาวสก็อต ได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปี พ.ศ. 2466 เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรี ในฐานะที่เป็นดัชเชสแห่งยอร์ก พระองค์ พระสวามีและพระธิดาทั้งสองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารี และเจ้าหญิงมาร์กาเรต ได้ทรงปฏิบัติตนตามแบบครอบครัวชนชั้นกลาง ดัชเชสได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านสาธารณชนต่างๆ มากมายและเป็นที่รู้จักกันว่า "ดัชเชสผู้แย้มยิ้ม" อันเป็นผลมาจากการปรากฏองค์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่เป็นประจำ

ในปี พ.ศ. 2479 เอลิซาเบธได้ทรงกลายเป็นพระราชินีอย่างไม่คาดฝันเมื่อสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ได้ทรงสละราชสมับติอย่างกะทันหันเพื่อไปอภิเษกกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันที่เคยหย่าร้างแล้วสองครั้ง ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปในการเสด็จเยือนทางการทูตยังประเทศฝรั่งเศสและทวีปอเมริกาเหนือในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างสงครามด้วยความแข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่ไม่ย่อท้ออย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจต่อสาธารณชนอังกฤษอย่างมากเท่ากับการสำเหนียกรู้ถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการชวนเชื่อ ได้ทำให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป" หลังจากสงครามพระพลานามัยของพระสวามีได้อ่อนแอลงและทรงกลายเป็นม่ายเมื่อพระชนมายุ 51 พรรษา

ในการเสด็จไปประทับยังต่างประเทศของพระเชษฐภรรดาและการเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระธิดาองค์ใหญ่ตอนพระชนมายุ 26 พรรษาเมื่อสมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2496 พระองค์ได้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดและกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพก็ยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่นๆ ตกอยู่ในการเสื่อมความนิยมจากสาธาณชนมากขึ้น

หลังจากการประชวรและการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมาร์กาเรต พระธิดาองค์เล็กเพียงไม่นาน พระพลานามัยของพระองค์ก็แย่ลงเรื่อย ๆ และได้เสด็จสวรรคตในอีกหกสัปดาห์ให้หลัง ขณะมีพระชนมายุ 101 พรรษา

เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน เป็นธิดาคนที่สี่และที่เก้าในสิบคนของโคลด จอร์จ โบวส์-ลีออน ลอร์ด กลามิส (ต่อมาคือ เอิร์ลแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น) และ เซซิเลีย นินา คาเวนดิช-เบ็นทิงค์ สถานที่เกิดของเอลิซาเบธยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ว่ากันว่าเกิดในคฤหาสน์เบลเกรฟ อุทยานกรอสเวเนอร์ ที่เป็นบ้านของบิดามารดาในกรุงลอนดอนและในรถพยาบาลม้าลากขณะจะไปยังโรงพยาบาล การเกิดของเอลิซาเบธได้รับการจดทะเบียนที่เมืองฮิทชิน เทศมณฑลฮาร์ทฟอร์ดเชอร์ ใกล้กับบ้านเซนต์พอลส์วัลเดนเบอรี ซึ่งเป็นบ้านพักชนบทของตระกูลสตราธมอร์ และเป็นที่เข้าพิธีบัพติศมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2443 ณ โบสถ์ท้องถิ่นในเขตนั้น

เอลิซาเบธใช้ชีวิตในวัยเยาว์ส่วนมากที่เมืองเซนต์พอลส์วัลเดนและปราสาทกลามิส ซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรุษในตระกูลอยู่ในเมืองกลามิส มณฑลแองกัส สก็อตแลนด์ ได้รับการศึกษาครั้งแรกที่บ้านโดยมีครูพี่เลี้ยงมาสอนและชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง ลูกม้าและสุนัขอย่างมาก เมื่ออายุ 8 ปี เอลิซาเบธก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยได้ทำให้เหล่าครูผู้สอนประหลาดใจด้วยการเริ่มต้นเขียนเรียงความด้วยอักษรกรีกสองตัวจากหนังสือชื่อ Anabasis ของนักปราชญ์กรีกนามว่า ซีโนโฟน และวิชาที่เก่งที่สุดคือ วรรณคดีและประติมากรรม หลังจากกลับมาเรียนหนังสือเป็นส่วนตัวกับครูพี่เลี้ยงชาวเยอรมันก็สามารถผ่านสอบข้อเขียนในการสอบเก็บคะแนน Oxford Local Examination ด้วยความสามารถพิเศษขณะมีอายุเพียง 13 ปี

ในวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเอลิซาเบธ ประเทศอังกฤษได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี เฟอร์กัส พี่ชายคนโตที่เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพ Black Watch เสียชีวิตในหน้าที่ในปี พ.ศ. 2458 ที่เมืองลูส ประเทศฝรั่งเศส ส่วนพี่ชายอีกคนหนึ่งคือ ไมเคิล ได้รับรายงานว่าสูญหายไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2460 อย่างไรก็ดี เขาได้ถูกจับไปหลังจากได้รับบาดแผลฉกรรจ์และอยู่ในค่ายคุมขังเชลยศึกสงครามในช่วงตลอดระยะเวลาสงคราม ปราสาทกลามิสกลายมาเป็นสถานที่พักฟื้นของเหล่าบรรดาทหารที่ด้รับบาดแผล ซึ่งเอลิซาเบธได้เข้ามาช่วยเหลือด้วย

เจ้าชายอัลเบิร์ต หรือ "เบอร์ตี" ที่รู้จักกันในหมู่พระราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระองค์ได้ทรงขออภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธครั้งแรกในปี พ.ศ. 2464 แต่เอลิซาเบธได้ปฏิเสธพระองค์โดยกล่าวว่า "กลัวจะไม่ได้คิด พูด และทำในสิ่งที่ควรทำอย่างอิสรเสรีอีกต่อไป" ต่อมาเมื่อเจ้าชายประกาศว่าจะไม่อภิเษกกับใครอีกเลย สมเด็จพระราชินีแมรี พระมารดาจึงได้เสด็จฯไปยังปราสาทกลามิสด้วยพระองค์เองเพื่อพบกับหญิงสาวที่ได้ขโมยหัวใจพระราชโอรสของพระองค์ไป พระราชินีทรงเชื่อว่าเอลิซาเบธเป็น"ผู้หญิงคนเดียวที่จะทำให้เบอร์ตี้มีความสุขได้" แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าก้าวก่ายในเรื่องการอภิเษก

ในที่สุดเอลิซาเบธก็ยอมตกลงที่จะอภิเษกกับเจ้าชายเบอร์ตี แม้ว่าจะยังหวาดหวั่นกับชีวิตในพระราชวงศ์ก็ตาม ได้มีการประกาศการหมั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2466 เสรีภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ตในการเลือกเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นสามัญชนเป็นพระชายาถือว่าเป็นสัญญาณไปสู่ความทันสมัยในทางการเมือง เนื่องจากในสมัยก่อนบรรดาเจ้าชายต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์อื่น ทั้งสองได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2466 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน เอลิซาเบธได้วางช่อดอกไม้ลงบนหลุมฝังศพของทหารนิรนามระหว่างทางไปยังวิหาร ซึ่งนับว่าเป็นธรรมเนียมที่เจ้าสาวในราชวงศ์ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าสาวเลือกที่จะมาวางช่อดอกไม้หลังจากเข้าพิธีอภิเษกแล้วมากกว่าระหว่างทางที่จะไปเข้าพิธี นับแต่นั้นเอลิซาเบธจึงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงดัชเชสแห่งยอร์ก (HRH The Duchess of York) ทั้งสองพระองค์เสด็จไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ตำหนักโพลส์เดนลาเซย์ ซึงเป็นคฤหาสน์ตั้งอยู่ในมณฑลเซอร์เรย์และต่อจากนั้นก็ได้เสด็จไปยังสก็อตแลนด์ก

ในปี พ.ศ. 2469 ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ที่ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนพระธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงมาร์กาเรต โรส ที่ประสูติอีกสี่ปีต่อมา ดยุกและดัชเชสแห่งยอร์กเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียเพื่อเปิดอาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์ราในปี พ.ศ. 2470

ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2479 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคตและการสืบราชสมบัติก็ตกทอดไปสู่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาในเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งได้เถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ทั้งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรีได้เตรียมรับมือกับความขัดแย้งต่อพระราชโอรสองค์โต อันที่จริงแล้วสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงแสดงความประสงค์ไว้ว่า "ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเป็นเจ้าว่าขอให้ลูกชายคนโตของข้าพเจ้าจะไม่ได้อภิเษกและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบอร์ตีและลิลีเบ็ต และราชบัลลังก์ได้"

ราวกับว่าความประสงค์ของพระบิดาและพระมารดาเป็นจริง เอ็ดเวิร์ดทำให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้นโดยยืนยันจะอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกัน แม้ว่าในทางกฎหมายเอ็ดเวิร์ดจะทรงสามารถอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันได้และคงดำรงพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์เสนอแนะว่าประชาชนจะไม่มีทางยอมรับนางซิมป์สันในฐานะพระราชินีได้และยังขัดค้านการอภิเษกสมรสนี้ด้วย อันที่จริงถ้าสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเพิกเฉยต่อคำแนะนำเหล่านั้น พวกเขาก็จะตัองลาออก และจะทำให้เป็นการทำลายสถานภาพของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างยากที่จะเยียวยาได้ จึงทำให้ทรงยอมรับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีโดยดี พระองค์จึงได้ทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งมิได้ทรงมีความปรารถนาจะเป็นกษัตริย์และทรงได้รับการอบรมมาเพียงน้อยนิด (แม้ว่าทั้งพระชนกและพระชนนีจะคาดหวังกับพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว) เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเลือกพระปรมาภิไธยว่า จอร์จที่ 6 พระองค์และเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ไอร์แลนด์และดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งอินเดียเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8

สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงสนับสนุนการตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่จะไม่พระราชทานพระอิสริยยศชั้นรอยัลไฮเนส (Royal Highness) ให้กับพระชายาและเชื้อสายคนใดในอดีตพระมหากษัตริย์ เมื่อเอ็ดเวิร์ดและวอลลิส ซิมป์สันอภิเษกกัน จึงทำให้นางซิมป์สันเป็นดัชเชสแห่งวินด์เซอร์

ในปี พ.ศ. 2482 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และพระราชสวามีทรงเป็นกษัตริย์และพระราชินีในราชบัลลังก์พระองค์ที่เสด็จเยือนประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา การเสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ ทำให้สองพระองค์ต้องเสด็จไปทั่วประเทศแคนาดาจากอีกฝั่งทะเลหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งทั้งขาไปและกลับ พร้อมทั้งเสด็จอ้อมไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงสั้น โดยทรงพบกับครอบครัวรูสเวลท์ที่ทำเนียบขาวและบ้านพักในบริเวณหุบเขาแม่น้ำฮัดสันด้วย การต้อนรับทั้งสองพระองค์จากชาวแคนาดาและสาธารณชนอเมริกันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ความรู้สึกว่าทั้งสองพระองค์เป็นตัวแทนที่ไม่มีความสลักสำคัญของสมเด็จเจ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่หลงเหลืออยู่มลายหายไป สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเคยตรัสกับแม็กเคนซี คิง นายกรัฐมนตรีของแคนาดาว่า "การมาเยือนนี้ทำให้เราเป็นที่รู้จัก" และพระองค์ได้เสด็จกลับมาเยือนแคนาดาอีกหลายครั้งทั้งแบบราชการและส่วนพระองค์

ในประเทศแคนาดาพระองค์ทรงได้รับการกล่าวถึงตลอดพระชนม์ชีพเกี่ยวกับคำตอบแบบฉับพลันตามที่มีรายงานในคราวเสด็จมาถึงในปี พ.ศ. 2482 เมื่อมีทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 คนหนึ่งทูลถามพระองค์ในระหว่างการพบปะพสกนิกรติดต่อกันครั้งหนึ่งของทั้งสองพระองค์ในช่วงแรกสุดว่า "ฝ่าพระบาทรงเป็นชาวสก็อตหรือชาวอังกฤษ" พระราชินีตรัสตอบว่า "เราก็เป็นชาวแคนาดาไงล่ะ!"

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนของชาติ ภายหลังจากการประกาศสงครามได้ไม่นาน ได้มีการจัดทำหนังสือ "The Queen's Book of the Red Cross" (หนังสือกาชาดในสมเด็จพระราชินี) ขึ้น นักประพันธ์และศิลปินจำนวนห้าสิบคนได้ช่วยกันเขียนเนื้อหาภายในเล่ม โดยหน้าปกเป็นพระฉายาลักษณ์ที่ถ่ายโดยเซซิล บีตันและนำออกขายเพื่อช่วยเหลือกาชาด สมเด็จพระราชินีทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกจาก กรุงลอนดอนแม้ว่าจะมีการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเมื่อทรงได้รับการถวายคำแนะนำจากเหล่าคณะรัฐมนตรี พระองค์ตรัสว่า "เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากไม่มีเราไปด้วย เราจะไม่ทิ้งพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จหนีไปไหนเด็ดขาด"

พระองค์เสด็จเยี่ยมสถานที่ต่างๆ ที่ตกเป็นเป้าทิ้งระเบิดจากกองทัพอากาศนาซีเยอรมันในกรุงลอนดอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตใน East End ใกล้กับเขต London's docks การเสด็จเยี่ยมในตอนแรกทำให้เกิดการต่อต้าน ผู้คนปาเศษขยะและหัวเราะเยาะใส่พระองค์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ที่หรูหราราคาแพง ซึ่งทำให้พระองค์ผิดแผกแปลกไปจากคนอื่นซึ่งทุกข์ทรมานจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพอันเกิดจากสงคราม พระองค์ตรัสอธิบายว่าถ้าสาธารณชนมาเห็นพระองค์ก็จะแต่งตัวให้ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงต้องตอบสนองไปในแบบเดียวกัน นอร์แมน ฮาร์ทเนลล์ ช่างพระภูษาประจำราชวงศ์ได้ฉลองพระองค์ให้สมเด็จพระราชินีด้วยสีอ่อนหวานและไม่ใช้สีดำเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึง "สายรุ้งแห่งความหวัง" เมื่อพระราชวังบักกิงแฮมโดนระเบิดหลายครั้งระหว่างการทิ้งระเบิดหนักที่สุด พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้าดีใจที่พวกเราโดนทิ้งระเบิด มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามารถมองเห็น East End อยู่ไม่ไกลนัก"

แม้ว่าพระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงปฏิบัติพระราชภารกิจระหว่างวันที่พระราชวังบักกิงแฮม ความปลอดภัยและเหตุผลของครอบครัวทั้งสองพระองค์จึงประทับค้างคืนที่ปราสาทวินด์เซอร์ (ประมาณ 20 ไมล์ หรือ 35 กิโลเมตรไปทางตะวันตกจากใจกลางกรุงลอนดอน) พร้อมกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารีและเจ้าหญิงมาร์กาเรต สำนักพระราชวังต้องสูญเสียข้าราชบริพารจำนวนมากให้กับกองทัพและห้องในพระราชวังส่วนมากก็ถูกปิดลง

เนื่องจากอิทธิพลของสมเด็จพระราชินีต่อจิตใจชาวอังกฤษ กล่าวกันอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เรียกพระองค์เป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป" อย่างไรก็ดี ก่อนสงครามจะประทุขึ้น พระองค์และพระราชสวามี เช่นเดียวกับเสียงข้างมากในรัฐสภาและสาธารณชนอังกฤษได้สนับสนุนการยอมอ่อนข้อและเนวิลล์ แชมเบอร์เลน ที่เชื่อในประสบการณ์จากสงครามโลกครั้งที่ 1 เห็นว่าจะต้องหลีกเลี่ยงสงครามไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากการลาออกของแชมเบอร์เลน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงขอให้วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ตั้งรัฐบาลขึ้นมา แม้ว่าในตอนแรกพระองค์ยังทรงลังเลที่จะสนับสนุนเชอร์ชิลล์ แต่ทั้งพระองค์และสมเด็จพระราชินีก็ทรงเคารพนับถือและชื่นชอบในความกล้าหาญและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเขา

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่บัปผาสะ หลังจากนั้นไม่นานสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" พระอิสริยยศนี้ได้ถูกนำเอามาใช้เพราะว่าพระอิสริยยศตามธรรมดาของพระราชินีหม้ายในกษัตริย์องค์ก่อน "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ" คล้ายคลึงกับพระอิสริยยศของพระธิดาองค์โต ซึ่งตอนนี้คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มากเกินไป พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า "สมเด็จพระราชชนนี" หรือ "ควีนมัม"

พระองค์ทรงโทมนัสกับการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามีเป็นอย่างมากและได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับยังสก็อตแลนด์ แต่กระนั้นหลังจากการพบปะกับนายวินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแล้วก็ทรงเลิกเก็บพระองค์อยู่โดดเดี่ยวและเสด็จกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจเช่นเดิม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงงานมากมายในฐานะพระราชชนนีอย่างที่เคยทรงกระทำในสมัยเป็นพระราชินี ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2496 พระองค์เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกตั้งแต่งานพระราชพิธีศพของพระราชสวามีไปในการวางฐานเสาหินที่เมือง Mount Pleasant ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยซิมบับเวในปัจจุบัน

สมเด็จพระราชินีหม้ายยังทรงควบคุมงานบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทเมย์ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปตรงชายฝั่งมณฑลเคธเนส สก็อตแลนด์ ซึ่งได้เคยทรงใช้เป็นที่ "หลบให้พ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง" เป็นเวลาสามสัปดาหในเดือนสิงหาคมและสิบวันในเดือนตุลาคม พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในการแข่งม้าที่ยังอยู่ต่อเนื่องตลอดพระชนม์ชีพ โดยทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ผู้ชนะจากการแข่งขันจำนวนห้าร้อยรายการ สีฟ้าอ่อนที่โดดเด่นของพระองค์ได้นำมาผูกไว้กับม้ามากมาย อย่างเช่น Special Cargo ซึ่งเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน Whitbread Gold Cup และ The Argonaut ในปี พ.ศ. 2527 แม้ (ตรงข้ามกับข่าวลือ) พระองค์ไม่ทรงเคยวางพนัน แต่ก็ทรงได้บทวิจารณ์การณ์การแข่งขันโดยตรงยังตำหนักคลาเรนซ์ พระราชฐานในกรุงลอนดอนของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงติดตามการแข่งขันได้

ก่อนการอภิเษกสมรสของไดอานา สเปนเซอร์กับเจ้าชายชาลส์และหลังจากการสิ้นพระชนม์ของไดอานา สมเด็จพระราชชนนีซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องของเสน่ห์ส่วนพระองค์และต่อสาธารณชนทรงเป็นสมาชิกที่น่านิยมชมชอบมากที่สุดในพระราชวงศ์อังกฤษ ฉลองพระองค์อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีพระมาลาเปิดหน้าประดับด้วยตาข่ายและชุดกระโปรงที่มีดิ้นประดับลายผ้ากลายมาเป็นรูปแบบส่วนพระองค์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ สมเด็จพระราชชนนีทรงมีความรักอันเข้าถึงได้ต่อศิลปะและทรงซื้อผลงานของโคลด โมเน็ต์ ออกัสตัส จอห์น และปีเตอร์ คาร์ล ฟาแบร์เช มากกว่าศิลปินคนอื่นๆ ภาพเขียนต่างๆ ที่ทรงซื้อมาได้โอนย้ายไปสู่สำนักการสะสมงานศิลป์หลวง (Royal Collection) ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์

ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระราชชนนีทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องของพระชนมายุที่ยืนยาว งานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 100 พรรษาจัดขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น ขบวนพาเหรดที่เฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์ การร่วมแสดงของนอร์แมน วิสด็อมและจอห์น มิลส์ พระองค์ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ศาลาว่าการกิลด์ฮอล กรุงลอนดอน กับ จอร์จ คาเรย์ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ซึ่งพยายามจะดื่มไวน์ในแก้วของพระองค์โดยบังเอิญ แต่การรีบห้ามของพระองค์โดยตรัสว่า "นั่นของเรานะ" ได้สร้างความขบขันไปทั่ว

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 สมเด็จพระราชชนนีทรงหกล้ม ทำให้กระดูกเชิงกรานของพระองค์ร้าว แต่ยังทรงยืนกรานที่ยืนเคารพเพลงชาติในงานพระราชพิธีรำลึกถึงพระราชสวามีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ในปีต่อมา เพียงสามวันต่อมา เจ้าหญิงมาร์กาเรต พระราชธิดาพระองค์ที่สองก็สิ้นพระชนม์ลง นอกจากนี้พระองค์ทรงหกล้มและ เกิดบาดแผลบนพระกรในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ณ พระราชวังซันดริงแฮม แพทย์และรถพยาบาลพร้อมด้วยหน่วยช่วยชีวิต (หน่วยหลังมาเพื่อการป้องกันไว้ล่วงหน้า) ถูกเรียกมายังพระราชวังแซนดริงแฮม ซึ่งแพทย์ได้รักษาบาดแผลที่พระกรให้กับพระองค์ แม้ว่าจะทรงหกล้ม สมเด็จพระราชชนนีมีพระประสงค์จะเสด็จไปในงานพระศพของเจ้าหญิงมาร์กาเรตที่โบสถ์เซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ในสองวันต่อมา ซึ่งเป็นวันศุกร์ในสัปดาห์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถและพระบรมวงศ์ต่างก็ทรงเป็นห่วงกับการเสด็จมาของสมเด็จพระราชชนนีซึ่งต้องเสด็จตรงจากนอร์โฟล์คยังวินด์เซอร์ แม้กระนั้นพระองค์ก็เสด็จมาแต่ทรงยืนกรานว่าจะต้องไม่ทรงเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนเลย ดังนั้นจึงไม่มีภาพของพระองค์ประทับบนเก้าอี้รถเข็นให้เห็นเลย

ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 15.30 นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จสวรรคตอย่างสงบขณะบรรทมหลับที่ตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระธิดายังคงทรงพระชนม์ชีพประทับอยู่เคียงข้าง พระองค์ประชวรด้วยโรคหวัดมาตลอดสี่เดือน มีพระชนมพรรษาได้ 101 พรรษาและยังทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ

พระองค์ทรงปลูกดอกชาในทุกอุทยานของพระองค์ และด้วยพระบรมศพของพระองค์ถูกนำมาจากตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์เพื่อตั้งไว้ให้พสกนิกรมาสักการะที่ห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ดอกชาจากอุทยานของพระองค์จึงถูกนำมาวางบนโลงพระบรมศพคลุมด้วยธงชาติอังกฤษ พสกนิกรจำนวนมากกว่าสองแสนคนเรียงแถวมาถวายสักการะพระบรมศพเพราะว่าโลงพระบรมศพตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ในอาคารรัฐสภาเป็นเวลาสามวัน ในช่วงเวลานั้นโลงพระบรมศพจะมีทหารม้าของสำนักพระราชวังและจากเหล่าทัพอื่นคุ้มกันอยู่ พระภาติยะทั้งสี่พระองค์คือ เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ และไวส์เค้านท์ลินเลย์ ได้ประทับยืนคุ้มกันอยู่สี่มุมของโลงพระบรมศพที่จุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเจมส์ บลันท์ พนักงานหน่วยกู้ชีวิตหนุ่ม ซึ่งต่อมากลายเป็นนักร้องชื่อดัง ร่วมยืนแบกโลงพระศพในช่วงเวลาหนึ่งด้วยเหมือนกัน

9 เมษายน ซึ่งเป็นวันพิธีพระบรมศพ พสกนิกรมากกว่าหนึ่งล้านคนอยู่เต็มลานนอกเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์และยาวตลอด 23 ไมล์จากใจกลางกรุงลอนดอนจนถึงที่พำนักสุดท้ายของพระองค์เคียงข้างพระราชสวามีและพระราชธิดาองค์เล็กในโบสถ์เซ็นต์จอร์จ ที่ปราสาทวินด์เซอร์ และจากความต้องการของพระองค์ หลังจากพิธีพระบรมศพให้นำพวงหรีดที่ได้วางอยู่บนโลงพระศพไปวางไว้บนหลุมฝังศพของทหารนิรนามในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งสะท้อนให้รำลึกถึงวันอภิเษกสมรสของพระองค์


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301